เมื่อ วันที่ 3 มีนาคม 2563 -ที่พรรคเพื่อไทย นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาเรื่อง “ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจไทย 2020” จัดโดยสถาบันสร้างไทย ทั้งนี้ นายวีรพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้เราอยู่ในวิกฤตการณ์แล้วไม่ใช่วิกฤตการณ์ทางการเมืองเท่านั้น แต่อยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจและกฎหมาย ซึ่งทั้ง 3 อย่างเป็นเหตุให้โครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง ของกระบวนการยุติธรรมของประเทศพังพินาศเกือบทั้งสิ้น ถือว่าเป็นมหาวิกฤตการณ์ เศรษฐกิจเป็นพื้นฐานของวิกฤตเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้น
ประเทศไทยต้องพึ่งการส่งออกเป็นหลัก มูลค่าการส่งออกมีมูลค่าถึง 70% ของรายได้ประชาชาติ ดังนั้น ใครที่พูดว่าการส่งออกไม่สำคัญ แสดงว่าไม่เข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เมื่อได้ยินรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน บอกว่าการส่งออกไม่สำคัญ เราสามารถสร้างความต้องการภายในรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งเป็นคำพูดที่โง่เขลา “เพราะถ้าหากประเทศไทยไม่ส่งออก ไม่มีนักท่องเที่ยว รายได้ประชาชาติจะเหลือ 30% ของรายได้ประชาชาติในขณะนี้ จะเกิดวิกฤตการณ์อย่างแน่นอน” นายวีรพงษ์กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤตมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเริ่มจากสหรัฐแล้วเพิ่มไปยังภูมิภาคอื่น การชะลอตัวของสหรัฐ กระทบต่อการส่งออกของประเทศจีน
ในระยะหลังประเทศจีนเป็นหัวรถจักรในเศรษฐกิจของภูมิภาค ที่ขนานนามว่าจีนเป็น world factory ไม่ผิด เพราะจีนกลายเป็นโรงงานของโลก แล้วสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปกลายเป็นผู้บริโภค การที่จีนเป็นผู้ผลิตส่งผลให้ไทยได้รับประโยชน์อย่างมาก อีกทั้ง 70% ของอุตสาหกรรมในประเทศไทย เป็นสินค้ายี่ห้อญี่ปุ่นแต่เป็นสินค้าไทย รถโตโยต้าเกือบจะ 100% กลายเป็น local content ทำให้ประเทศไทยได้ขยับจากการที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้ากึ่งเกษตร เช่น ข้าว ยาง น้ำตาล กลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น ไม่ใช่เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือกึ่งพัฒนา แต่เป็นประเทศกึ่งพัฒนาขั้นสูง
รัฐประหารประเทศชะงัก “แต่เราโชคร้ายที่มีการรัฐประหาร ที่ถีบให้การเป็นประเทศพัฒนาแล้วต้องหยุดชะงัก ในเวทีการค้าการเจรจาการลงทุนระหว่างประเทศ ผู้นำของเราไม่สามารถเดินตามไปได้ เพราะยังมียศนายพลนำหน้าบนโต๊ะเจรจาประเทศเดียว แม้แต่พม่ายังมียศพลเรือนเป็นส่วนใหญ่แล้ว การที่ระบอบปกครองไม่เหมือนอารยะเป็นปัจจัยที่ดึง รั้ง ถ่วง ไม่ให้ประเทศไทยก้าวหน้าเหมือนประเทศเจริญแล้ว เดิมเราคิดว่าจะเป็นเสือตัวที่ 5 มาเอเชีย แต่หลังจากปฏิวัติรัฐประหาร ทุกสิ่งชะงักงันล้าหลังไปหมด” นายวีรพงษ์กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลทหารคิดว่าระบอบการปกครองไม่มีความสำคัญนั้นไม่จริง
การที่ผู้นำไม่สามารถเดินทางไปเจรจาการค้าแบบทวิภาคีกับประเทศต่างๆ ได้ ไปได้เฉพาะพหุภาคี เป็นเหตุให้ภาวะเศรษฐกิจของเราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลง การส่งออกประสบปัญหา เราเคยหวังพึ่งการท่องเที่ยวที่จะเป็นตัวอุ้มชูเศรษฐกิจ ชดเชยการถดถอยการส่งออกสินค้า ปรากฏว่าเราได้ทำหลายสิ่งที่เป็นลบต่อกิจการการส่งออกของประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศจีน เมื่อมีอุบัติเหตุที่เกาะภูเก็ต ก็พูดจากระทบกระเทือนจิตใจของคนจีน เมื่อมีโรคระบาดเราก็ได้ทำบางอย่างที่กระเทือนใจคนจีน ไม่ตระหนักว่าการท่องเที่ยวนั้น จีนเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของประเทศและหวังพึ่ง ถ้าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั่งก้นไม่ติดแล้ว ต้องดิ้นรนเจรจาการค้าทุกวิถีทางไม่ให้เศรษฐกิจเป็นแบบนี้
ต้นปีเผาจริง ปลายปีเก็บกระดูก อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า ตามสถิติถ้าอยากให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 4% ค่าเงินบาทต้องอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าให้ขยายตัว 5% เงินบาทต้องอยู่ในระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ ถ้าเงินบาทอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ อัตราขยายตัวจะเท่ากับ 0 ดังนั้น จึงเป็นห่วงความไม่รู้เรื่องของทางการมากกว่า และห่วงว่าความรังเกียจรัฐบาลทหารในประชาคมโลกน่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นในยามที่เศรษฐกิจของโลกชะลอตัวลง ประเทศต่างๆ ก็จะปกป้องตนเอง โดยใช้มาตรการกีดกันทางการค้า “บวกกับการที่เราคาดการณ์ว่าจะอาศัยการท่องเที่ยวเป็นตัวช่วย เมื่อเกิดโควิด -19 ทุกอย่างผิดพลาดหมด ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจปีกลายเผาหลอก ต้นปีนี้เผาจริง และปลายปีจะเก็บกระดูกไปลอยอังคาร ให้เตรียมการไว้ ไม่ใช่ผมไม่ชอบรัฐบาลแล้วมาพูด แต่มาจากตัวเลขและความรู้ที่สะสมมา
บางครั้งเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้น แต่ฟื้นหน่อยแล้วก็ฟุบลง เป็นฟันปลาเหมือนดัชนีหุ้น เราจะประสบปัญหาแบบนี้ไปหลายปี จากประสบการณ์วัฏจักรการขึ้นลงของเศรษฐกิจจะขึ้นลงทุกๆ 10 ปี รัฐบาลปัจจุบันเข้ามาก็เริ่มลงมา 5 ปี ดังนั้น น่าจะเหลือ 5 ปีเป็นอย่างน้อยที่เศรษฐกิจเราจะเริ่มฟื้น และสัญญาณจากการฟื้นต้องมาจากต่างประเทศ” ถ้าพูดถึงความเหลื่อมล้ำให้ถูกต้องจะต้องลดความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพชีวิต มาตรการการใช้เงินสดแจกเฉยๆ แต่แจกให้ถึงคนที่ควรได้รับแจก ก็ยังมีชนชั้นกลางที่รายได้สูงกว่าระดับที่จะได้รับแจกเงินจึงไม่ทั่วถึง
จึงควรมีมาตรการลดภาษี ระบบสถิติบิ๊กเดต้าต้องให้ละเอียดอย่าให้ซ้ำกัน ถ้าทำอย่างนี้จะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจชิม ช็อป ใช้ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นปาหี่ หลอกคนในเมือง ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้อยู่กับเราไปอีกนานไม่ใช่ไตรมาส สองไตรมาส เมื่อเรามีรัฐบาลเผด็จการไม่สามารถไปเจรจากับใครได้เลย ความสามารถในการแข่งขันก็จะด้อยไปเรื่อยๆ
ที่จะหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นเร็วขอให้เลิกคิด เราจะได้ตาสว่างรีบเรียกร้องให้ประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศไทยโดยไว เพราะเผด็จการทหารเป็นอุปสรรคสำคัญในการค้าการลงทุนของต่างประเทศ อย่าไปหวังว่าต่างประเทศจะลงทุน เพราะคนไทยยังลงทุนถ้ารัฐบาลเป็นประชาธิปไตย นักการเมืองอยู่ไม่ได้ถ้าเศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้ แต่รัฐบาลทหารอยู่ได้ด้วยความสบายใจเพราะเขาใช้ปืนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั่งก้นไม่ติดแล้ว ต้องดิ้นรนเจรจาการค้าทุกวิถีทางไม่ให้เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ และวิสัยทัศน์นักการเมืองที่ติดมากับโครงสร้างเป็นสิ่งสำคัญ
ประชาชนจะไม่ให้เป็นแบบนี้เป็นอันขาด
________
source ” ประชาชาติธุรกิจออนไลน์